เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันเข้าพรรษานะ วันเข้าพรรษา วันเริ่มอธิษฐาน เรานะ วันเข้าพรรษาทางโลกไม่ค่อยตื่นเต้นกัน แต่วันขึ้นปีใหม่นี่ไปตื่นเต้น วันเข้าพรรษามันก็เหมือนกับคล้ายวันขึ้นปีใหม่ไง วันขึ้นปีใหม่เราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เห็นไหม อวยพรปีใหม่กันนะ ชีวิตใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่ แต่เวลาวันเข้าพรรษา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ตั้งสัจจะไง นี่คือชีวิตใหม่ไง

ดูนาฬิกาสิ นาฬิกานี่มันตายแล้ว พอมันตายขึ้นมานี่มันหมุนไปครบ เวลามันหมดลาน มันหมดถ่าน มันก็ตาย ตายเราก็ตั้งมันใหม่ เห็นไหม นาฬิกามันตายแล้วเราก็ตั้งใหม่ อย่างนั้นมันได้อะไร?

ชีวิตเรานะ ชีวิตเราเวลามันตายไป มันมีจิต เวลาอยู่มันมีความรู้สึก เวลาภาวนา เห็นไหม เอา ๕ นาที ๑๐ นาที วันนี้ภาวนาได้ ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ไปภาวนาเอาเวลากันไง เราไม่ใช่นักวิ่งนี่ จะเอาสถิติกัน การวิ่งแข่งเวลา เห็นไหม

แต่ถ้าความสุขความทุกข์มันอยู่ที่ใจ เวลาวันคืนล่วงไปๆ ความรู้สึกเรามี จิตนี้มันมี โอกาสมันมี คนเกิดมาอายุสั้นอายุยืน คนเกิดมามีโอกาสมากโอกาสน้อย เห็นไหม เพราะอะไร เพราะตัวจิตมันตัวรับรู้

นาฬิกามันตายมันเป็นวัตถุ มันไม่มีวิญญาณ มันไม่รับรู้อะไรหรอก มันเกิดมันตายของมัน เห็นไหม นาฬิกาตายเราไม่ทุกข์นะ เราเปลี่ยนได้ เรารู้ได้ แต่คนตายนี่มันทุกข์ เพราะคนตายมันตายไป

แล้วนี่วันเวลามันตายไป นี่เข้าพรรษาอีกแล้ว วันคืนล่วงไปๆ เราประมาทกันมากนะ ปีใหม่ปีนี้พอฉลองปีใหม่เสร็จ ก็อยากให้พรุ่งนี้เป็นปีใหม่เลย ได้ฉลองกันอีกไง มันเอาวันปีใหม่มาฉลองเพื่อความสนุกเพลิดเพลินไง มันไม่ได้ตั้งปีใหม่แล้วเราจะตั้งกติกาขึ้นมา แล้วเราจะทำดีทำชั่วขนาดไหนไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาธุดงค์ เห็นไหม เวลาอธิษฐานพรรษา พระอธิษฐานพรรษาใน ๓ เดือนนี้ ดูสิ พระจักขุบาลนี่ อธิษฐานเลยพรรษานี้เราจะไม่นอน เวลาภาวนาไป โรคตา โรคของตาเพราะมันอักเสบขึ้นมา หมอบอกถ้าไม่นอนนี่ตาจะบอดนะ “บอดก็ให้มันบอดไป” เพราะอะไร เพราะมันเสียสัจจะ ที่เสียสัจจะเพราะอะไร เพราะมันมีความเข้มแข็งอย่างนี้ ไม่เสียสัจจะกิเลสมันก็หลอกไม่ได้ พอกิเลสหลอกไม่ได้ เห็นไหม ถึงเวลาตาก็บอดไป แต่หัวใจก็สว่างโพลงขึ้นมา

แล้วอย่างเรานี่ สมมุติว่าเรานี่เป็นอย่างนั้น เราจะแลกไหม? ถ้าเราจะแลก เราแลกแล้วเราได้ผลนั้นไหม? เราแลกเรายังไม่ได้ผลนั้น เพราะเราไม่รู้ใช่ไหม? แต่! แต่พระจักขุบาลขณะนั้นไม่มีผู้เดินนำหน้า เป็นผู้ที่ปฏิบัติ มันเป็นปัจจุบัน แต่มีผู้นำหน้า เวลาเราปฏิบัติกันเราก็อาศัยครูบาอาจารย์เป็นแบบอย่าง

พระกัสสปะ เห็นไหม ถือธุดงควัตรเลยนะ แล้วถือธุดงควัตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า “ทำเพื่ออะไร?” ทั้งๆ ที่เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์นี่ไม่ต้องไปดัดแปลงกิเลสแล้ว เพราะมันไม่มีกิเลสให้ดัดแปลง ถ้ามีกิเลสอยู่เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร เพราะไม่มีกิเลสเลย แต่ก็ยังถือเป็นคติเป็นตัวอย่างกับเรา ให้อนุชนรุ่นหลังได้มีแบบคติตัวอย่าง

การทำของเรานี่มันมืดบอด การทำอย่างไร ทำด้วยกิเลส เห็นไหม มันก็ผิดๆ ถูกๆ ไปโดยสภาวะแบบนั้น แต่ต้องทำ! ถ้าไม่มีการทำเลย มันก็ไม่มีการเริ่มต้น มันไม่มีผู้ที่สืบต่อเลย

เราบอกเลย ชาติของเราฝากไว้กับอนุชนรุ่นหลัง ฝากไว้กับเด็ก ถ้าเด็กมันดีขึ้นมา ชาติเราจะมั่นคง เห็นไหม เราก็ฝึกเด็กขึ้นมาให้เป็นคนดีขึ้นมา พยายามถนอมรักษานะ แล้วก็ไปโทษนะ นี่ต้องไปฝึกกันที่เด็ก ต้องไปฝึกกันที่เด็ก ไม่ได้บอกเลยไปฝึกที่ผู้ใหญ่เลย เพราะผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี

แม่ปูมันเดินของมันนะ มันเดินของมันส่ายขนาดไหน มันก็ไม่เห็นตัวมันเอง เห็นไหม แต่มันไปบอกเลย ลูกปู ลูกเดินให้ตรงสิ เดินให้เหมือนแม่นี่ แล้วมันก็เดินคดไปเคี้ยวมา แล้วเดินให้ตรงสิ มันตรงได้อย่างไร

มันเป็นที่ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก เพราะโอกาสในปัจจุบันนี้เราแก้ไขได้ ไม่ใช่อะไรก็ไปยัดเยียดให้เด็กหมด เห็นไหม ว่าอนุชนรุ่นหลังหรือประเทศชาติมันจะเจริญ แต่ขณะของเรา เราจะตักตวงผลประโยชน์ เห็นไหม พูดแต่สอนคนอื่น ไม่พูดสอนตนเองเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ สอนตนเองก่อน ดัดแปลงตนเองก่อน ศาสนาพุทธสอนอย่างนี้ สอนกลับมาที่เรา ไม่ต้องอ้อนวอนขอใคร ไม่ต้องไปเคารพนบนอบสิ่งใด ให้อริยสัจความจริง ธรรมนี่เกิดขึ้นมาจากเรา “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมนั้นจะสะเทือนหัวใจเข้ามา”

ฉะนั้น ถ้าคิดอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ การกระทำมันเกิดขึ้นมาได้ มันเกิดกำลังใจนะ

เวลาประพฤติปฏิบัติเหมือนกันเลย น้ำเราตั้งไว้ เห็นไหม มันยังระเหยไปเลย มันยังบกพร่องไปเลย ความตั้งใจของเราตั้งใจมั่นมาก เวลาอธิษฐานพรรษา จะทำทุกอย่างที่ผมปรารถนาเลย ๕ วัน ๑๐ วันไปนะ มันท้อถอย มันอ่อนแอนะ เอาไว้ก่อนเถิด เห็นไหม มันก็ล้มลุกคลุกคลานไป มันไม่ถึงที่สุด มันก็ทำของมันไม่ได้

สิ่งที่ทำไม่ได้ เห็นไหม มันอ่อนแออย่างนี้ ถ้าเราทำของเราไป เราตั้งใจของเรา เราจะทำของเราให้เป็นไป นี่ ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา จะกี่พรรษาก็แล้วแต่ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้ามา มันมีจิตวิญญาณ มันมีความรู้สึก จิตวิญญาณนี้เป็นเงาของใจนะ

แต่ปฏิสนธิวิญญาณ จิตตัวนั้นนะ ตัวจิต ตัววิญญาณตัวความรู้สึก เห็นไหม เวลาอารมณ์ดีขึ้นมา อารมณ์มั่นคงขึ้นมา วิญญาณเข้มแข็งไง เวลาวิญญาณพอมันโลเลขึ้นมา นี่วิญญาณพเนจร เพราะอะไร เพราะมันไม่แน่ใจแล้ว มันโลเลแล้ว วิญญาณอย่างนี้วิญญาณความรู้สึก มันไม่ใช่ตัวจิต ตัวจิตเป็นพลังงานตัวนั้นมันมีของมัน ถ้าเราสัจจะความจริงอย่างนี้ เราตั้งความจริงอย่างนี้ มันมั่นคงอย่างนี้

เปลือกผลไม้นะ ถ้าเปลือกผลไม้มันเข้มแข็ง เปลือกผลไม้มันดี มันถนอมให้ผลไม้นั้นอยู่ได้เก็บได้นาน ถ้าเปลือกผลไม้มันมีบาดแผลนะ เปลือกผลไม้นะ เนื้อผลไม้นั้นมันก็จะเสียหายไป นี่ก็เหมือนกัน วิญญาณ ขันธ์ ๕ ความรู้สึกของเรา มันถนอมรักษาจิตของเราไว้ ถ้ามันเข้มแข็ง มันมั่นคงของมัน มันก็ทำให้จิต การกระทำของเรามีระยะเวลา เห็นไหม การปฏิบัติของเรามันก็มีเวลาสืบต่อ การปฏิบัติของเรา เห็นไหม

วันนี้วันอธิษฐานพรรษา ถ้าวันอธิษฐานพรรษาเราจะตั้งสัจจะอย่างไร ตั้งสัจจะกับตัวเอง ปัจจุบันนี้ หน้าที่การงานจะทำให้มันจริงจัง เวลาเราจะทำจริงจังขนาดไหน หน้าที่การงานนะ แล้วเวลามีเวลาว่างมาเราจะทำขนาดไหน มันตั้งได้ มันเป็นคฤหัสถ์ธรรม ธรรมของคฤหัสถ์ไง ธรรมของนักบวช ธรรมของนักรบไง หน้าที่มันต่างๆ กัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้นะ เวลาบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม เวลามารดลใจนะ มารดลใจ พยายามจะดลใจ มาร เห็นไหม ขนาดที่มารอยู่ในหัวใจนะ พระพุทธเจ้าฆ่ามันแล้ว เห็นไหม เวลาเย้ยมารนะ เวลาเย้ยมาร มารคอตกนะ นางตัณหา นี่เป็นบุคลาธิษฐาน ว่านี่ลูกของพญามาร นางตัณหา นางอรดีนี่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลูกของพญามาร พญามารคอตกเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทำลายแล้ว

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เธอจะเกิดจากใจของเราไม่ได้อีกแล้ว”

ที่ว่าเสียบปลั๊กๆ นี่ เธอจะเกิดอีกความดำริของเราไม่ได้เลย ความคิดจะเกิดจากใจดวงนี้ไม่ได้เลย ในเมื่อเราเห็นเธอแล้ว เธอจะเกิดอีกไม่ได้ นี่ฆ่าแล้วไง แล้วทำไมมาดลใจอีกล่ะ? ทำไมมาดลใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เห็นไหม “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเถิด” นี่อยู่ไปมันแบบว่าเป็นภาระหนักหน่วงพระพุทธเจ้าปฏิเสธ ปฏิเสธตลอดเลยเพราะอะไร เพราะเทศน์นะ เวลาพูดถึงอริยสัจมันจะพูดถึงเรื่องจิต เรื่องความรู้สึกอย่างเดียวเลย แต่เวลาพูดถึงเรื่องโลก เรื่องวัฏฏะ เห็นไหม เวลาเราทำความดีความชั่วของเรา ผลมันเกิดขึ้นมาใช่ไหม?

เราเป็นคนเลว เรานี่เป็นคนเลว คนเทศน์อยู่นี่เป็นคนเลว แล้วได้ทำบุญกุศลอยู่ไปเกิดเป็นเทวดา มันก็เป็นเทวดาฝ่ายมาร เทพก็เทพฝ่ายมาร ฝ่ายมารคือว่าสิ่งที่เขามีอำนาจไง นี่มันดลใจได้ สิ่งว่าดลใจนะ เวลามันขยับออกไปแล้ว มันเป็นไปสภาวะแบบนั้น นี่มาดลใจนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่เข้มแข็ง ยังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน”

พอเวลาวันมาฆบูชา “บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มีความมั่นคง มีความเข้าใจในศาสนา กล่าวแก้คำจาบจ้วง คำติเตียนของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

ขนาดว่าฆ่ามารแล้วนะ เพราะว่ามารในหัวใจเราฆ่าแล้ว แต่วัฏฏะมันก็มีมารมีเทพ มีสิ่งดีๆ และชั่วปนกัน สิ่งที่ดีและชั่วปนกันมันก็ยังมาพยายามจะรักษามวลชนของเขา รักษาจิตวิญญาณที่อำนาจของเขา เห็นไหม นี่มันอยู่จากภายนอก นี่กระแสสังคม

กระแสสังคมเป็นส่วนหนึ่ง แต่ความรู้สึกของเรา ถ้าเรามั่นคงของเรา เราจะไม่ตามกระแสสังคม เราจะเข้าใจ ในกระแสประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ตั้งกายขึ้นมา พิจารณากายนะ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทา มันเป็นก๊อบปี้ มันซีรอกซ์มา มันจะไปเป็นธรรมได้อย่างไร?

แต่ถ้ามันเป็นของเรา เราทำขนาดไหน มันจำเป็นจะต้องพิจารณากายอย่างเดียวเหรอ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “กาย เวทนา จิต ธรรม” พิจารณาจิตก็ได้ พิจารณาเวทนาก็ได้ พิจารณาอะไรก็ได้ แล้วมันเป็นจริงขึ้นมา

สิ่งนี้มันเป็นประสบการณ์ของจิต มันเป็นความเป็นไปของจิต การประพฤติปฏิบัติมันต้องเป็นสันทิฏฐิโก เป็นความเห็นของเรา ไม่ต้องไปถามใครว่าผมได้ขั้นไหน ผมเป็นอย่างไร ไม่ต้องถามใคร ถามหัวใจของตัวเอง มันสุขหรือมันทุกข์ ถามใจตัวเองนี่ ประพฤติปฏิบัตินี่มันได้ไม่ได้ ถามตัวเองนี่

ถ้าตัวเองเป็นความสุข มันสุขขนาดไหน สุขโดยเจือด้วยกิเลส เห็นไหม สุขชั่วคราว สุขเพราะมันปล่อยวาง แต่มันไม่ขาด เดี๋ยวมันก็จะตีกลับมา ไม่ต้องถามใคร ถ้ามีเชื้ออยู่มันต้องแสดงตัวแน่นอน ของมันมีอยู่ในใจ มันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่ ขณะที่มันกดไว้ มันก็กดไว้โดยอำนาจของสมาธิ แต่ถ้าถึงว่ามันตีกลับมา มันต้องมีอยู่แล้ว ไม่ต้องถามใครเลย แต่ถ้ามันขาดนะ ใครจะบอกว่าเป็นสภาวะแบบใด ใครจะติฉินนินทาอย่างใด มันเรื่องของเขา

เรื่องของเรา เห็นไหม เรื่องของวัฏฏะ เรื่องของกระแสโลก เรื่องของใจเรา ใครมันจะรู้ดีกว่าใจเรา ใจของเรามันปล่อยวางขนาดไหน มันสมุจเฉทปหานขนาดไหน มันเป็นสัจจะความจริงขนาดไหน สันทิฏฐิโก เห็นไหม มันต้องเป็นสภาวะแบบนี้ ถึงว่าเป็นสัจจะ เป็นอริยสัจจะ สัจจะเป็นความจริงของโลกๆ

ดูสิเขาสร้างกัน ประวัติศาสตร์เขียน เห็นไหม เป็นนิยายเลย นิยายของใครของมัน แล้วแต่สร้าง ไปขุดค้นขึ้นมาแล้วไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ยังทำได้เลย แล้วของเรา ความจริงของเรา ขุดค้นนะ ขุดค้นในหัวใจ เห็นไหม

ดูสิ ดูเขาทำนาสิ เขาทำนาขึ้นมา เขาทำนาที่ไหน เขาทำนาของเขานะ ทำนาในพื้นนา นี่ก็เหมือนกัน นาอยู่ที่ไหน นาอยู่ในร่างกายนี้ คนทำนาอยู่ที่ไหน คนทำคือตัวจิต จิตมันทำได้ไหม ถ้าเขาทำนาได้ เขายังทำนา เขายังเป็นประโยชน์ของเขาได้ ดูสามเณรน้อย เห็นไหม เวลาไปเห็นเขาชักน้ำเข้านา เห็นเขาดัดคันศร

“มันไม่มีชีวิต ทำไมมันยังใช้ประโยชน์ได้?”

“จิตของเรานี่มีความรู้สึก มันมีชีวิต ทำไมไม่ใช้ประโยชน์กับมัน?”

เราใช้ความรู้สึกของเรานี่ขุดค้น ทำนาๆ พิจารณากายของเรา ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา เราก็ทำนาไป นาเขาทำแล้ว เห็นไหม เขาทำแล้วทำเล่าเพราะอะไร เพราะมันต้องกิน สมัยก่อนไม่มีตลาด ไม่มีธุรกิจ ใครทุกคนต้องทำนากินเอง สมัยโบราณเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำนาจนเราชำนาญขึ้นมา เราทำเป็นของเรา เราจะไม่ตื่นเต้นเลย เราจะไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ทำนาดอน ทำนาลุ่ม ทำนาหว่าน ทำนาดำ ทำข้าวไร่ เห็นไหม มันจะมีอาหารกินตลอดไปไง ถ้าจิตมันสันทิฏฐิโกมันเป็นอย่างนี้ไง มันจะไปตื่นเต้นกับสิ่งใด อาหารเราเตรียมพร้อม ทุกอย่างเตรียมพร้อม เราจะไปอยู่ที่ไหน เราจะตกทุกข์ได้ยากไปอย่างไร รักษาได้ทั้งนั้นล่ะ

นี่ภาวนา ทำนาเป็นเป็นอย่างนี้ไง ถึงไม่กลัวสิ่งใดๆ เลย โลกนี้สมมุติ ความเป็นไปสมมุติทั้งหมด แต่สิ่งที่เป็นความจริงนะ มันอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจของเรา สิ่งที่เป็นนามธรรมมีคุณค่าที่สุด สิ่งที่เป็นวัตถุนะ ชั่วคราว ของจะมั่นคงขนาดไหน อนิจจัง โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่เลย

เขาว่าสิ่งที่เป็นมหัศจรรย์ของโลก เห็นไหม พยายามรักษา เขารักษานะ มันล่มสลายไปกี่รอบแล้ว ดูสิ สิ่งที่เป็นโบราณวัตถุเรา เห็นไหม ซ่อมแซมตลอด เราก็เหมือนของเก่า ของเก่า ๕,๐๐๐ ปี ๑๐,๐๐๐ ปี ๑๐๐,๐๐๐ ปี มันก็ของเก่าๆ อย่างนี้ ฟอสซิลต่างๆ เห็นไหม มันก็เหลือเศษส่วนมา เขาไปหาเจอนะ เป็นล้านๆๆ ปี อันนั้นก็เป็นส่วนของเขา ส่วนของเขาคือว่ามันมีส่วนน้อย

ดูสิ เวลาคนเราทำบุญกุศลนี่ต้องไปสวรรค์ตลอด ไปนรกตลอด มันเป็นอย่างนั้นเหรอ? มันมีแอคซิเดนท์ของมันนะ แอคซิเดนท์ ส่วนต่างมันมีอยู่ ระลึกชาติได้ บางคนเด็กบางคนระลึกชาติได้ มันมีเศษมาในหัวใจ มันมีได้เป็นบางส่วน แต่ไม่เป็นอย่างนั้นทั้งหมด โดยหลักการจะต้องเวียนตายเวียนเกิดไปธรรมชาติของมัน แต่แอคซิเดนท์ก็เวียนตายเวียนเกิด เพียงแต่มันมีความเห็นมีมุมมองที่ดีกว่าคนอื่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง เพราะสิ่งนี้มันสะอาดไม่ได้ สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ ธรรมชาติของเขามันเวียนอย่างนี้ แต่อริยสัจเป็นความจริง

ย้อนกลับมาไง นาฬิกามันตายแล้วตายเล่านะ สิ่งนี้ไม่ให้ผลอะไรกับตัวมันเองเลย กาลเวลากินเรา แล้วจิตเราจะปฏิบัติอย่างไร?

วันนี้วันเข้าพรรษา วันอธิษฐานพรรษา ให้ตั้งต้นชีวิตนะ ให้ตั้งสัจจะของเรานะ โอกาสของเรา ๓ เดือนนี่ พระพาทำ แล้วเราก็ทำสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเป็นผู้ที่ปฏิบัตินะ ในพรรษานอกพรรษาเหมือนกัน เพียงแต่ในพรรษาเป็นประเพณี เป็นโอกาสให้เราได้กระทำ เราจะกระทำของเราเพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง